ช่วงเทศกาล ออกพรรษาของทุกปี โดยเฉพาะคืนวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันออกพรรษา ( ปีใดมีเดือนแปดสองหนจะเลื่อนขึ้นไปอีก ๑ วัน คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ของประเทศลาว ) มหาชนจากทั่วทุกทิศจะหลั่งใหลมาที่อำเภอโพนพิสัย และที่แก่งอาฮงหน้าวัดอาฮงศิลาวาส อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย อย่างเนืองแน่นชนิดที่หาที่จอดรถไม่ได้ หรือแทบจะเดินไม่ได้
มหาชนเหล่านั้นมา เพื่อที่จะร่วมงานประเพณีไหลเรือไฟ และจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือ มาชมบั้งไฟพญานาค ลูกไฟมหัศจรรย์ ที่พุ่งขึ้นจากลำน้ำโขง ที่เรียกว่ามหัศจรรย์นั้น เพราะยังเป็นการที่ยากจะพิสูจน์ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไมจึงเกิดขึ้นเฉพาะวันออกพรรษาเท่านั้น แม้วันออกพรรษาของแต่ละปีคลาดเคลื่อนไปตามวันเดิม บั้งไฟพญานาค ก็จะเคลื่อนไปตามวันออกพรรษาของปีนั้นๆ และทำไมถึงต้องเกิดขึ้น และเกิดขึ้นเฉพาะในแม่น้ำโขงเท่านั้น
บั้งไฟพญานาคเป็นลูกไฟที่พุ่งขึ้นจากแม่น้ำโขง พุ่งขึ้นสู่อากาศแล้วก็หายไป เกิดขึ้นทั้งกลางแม่น้ำโขง และบริเวณใกล้ๆ ฝั่ง ขึ้นสูงประมาณ ๓๐ – ๕๐ เมตร บางแห่งขึ้นสูงเป็น ๑๐๐ เมตร ขนาดของลูกไฟที่เกิดขึ้นนั้นมีขนาดโตเท่าผลส้ม ขนาดกลางเท่าไข่ไก่ ขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือ เวลาที่เกิดไม่แน่นอนแต่ต้องมืดค่ำก่อนถึงจะเกิด บางปีเกิดตั้งแต่หัวค่ำ
( เวลา ๑๘.๐๐ นาฬิกา ) บางปีเกิดในเวลาตั้งแต่ ๓ – ๔ ทุ่ม เรื่อยไปจนถึงเวลาเที่ยงคืน ถึง ๐๒.๐๐ นาฬิกา จำนวนที่เกิดขึ้นนั้นมีจำนวนไม่เท่ากัน บางแห่งเกิดขึ้นเพียง ๑ ลูก บางแห่งเกิดขึ้น ๒๐ ลูก หรือบางแห่งก็เกิด ๕๐ – ๑๐๐ ลูก ก็มี หรือมากกว่านั้น สถานที่เกิดส่วนมากจะเป็นลำแม่น้ำโขง แต่ก็มีบ้างที่เกิดขึ้นในห้วยหนองที่อยู่ใกล้ๆ กับแม่น้ำโขงและอยู่ในท้องที่อำเภอโพนพิสัย อำเภอปากคาด และบริเวณบ้านอาฮง อำเภอบึงกาฬบางส่วน
ลักษณะการพุ่งขึ้นจากน้ำ ถ้าอยู่ใกล้ฝั่งเมื่อลูกไฟพุ่งขึ้นสูงจะเฉเข้าหาฝั่งมากกว่าเฉออกนอกฝั่ง วิ่งเร็วช้าไม่เท่ากัน ถ้าอยู่ใกล้ฝั่งจะช้า ถ้าเกิดอยู่กลางน้ำจะเร็ว ลักษณะลูกไฟไม่เหมือนกัน ถ้าเกิดบริเวณอำเภอโพนพิสัยจะเป็นสีแดงอมชมพู แต่ถ้าเกิดที่แก่งอาฮง ตำบลหอคำ อำเภอบึงกาฬ จะเป็นสีเขียวจนเห็นได้ชัด ลูกไฟที่พุ่งขึ้นเมื่อสูงสุดแล้วจะหายไปเฉยๆไม่มีตกลงมาให้เห็น ลูกไฟที่เกิดขึ้นไม่มีเสียง ไม่มีเปลวเหมือนลูกไฟทั่วไป ไม่มีควัน บริเวณที่พบ คือ แม่น้ำโขงบริเวณวัดไทย เขตสุขาภิบาลโพนพิสัย บริเวณจุมพล เขตสุขาภิบาลบริเวณห้วยหลวง ที่แม่น้ำห้วยหลวงไหลลงสู่แม่น้ำโขง บริเวณวัดหลวง บริเวณบ้านจอมนาง และที่หนองสรวง ซึ่งเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ ปากน้ำห้วยเป บ้านน้ำเป อำเภอรัตนวาปี บริเวณตลิ่งวัดบ้านหนองกุ้ง อำเภอรัตนวาปี หนองต้อน ตำบลหนองต้อน ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอโพนพิสัย และที่บริเวณแก่งอาฮง บ้านอาฮง ตำบลหอคำ อำเภอบึงกาฬ บริเวณนี้จะเป็นลูกไฟสีเขียวมรกต
แม่น้ำโขงที่มีความยาว ๔,๐๐๐ กิโลเมตร ได้เริ่มต้นจากตอนใต้ของประเทศจีน ไหลผ่านพม่า ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ประชาชนที่อยู่อาศัยตามสองฟากฝั่งแม่น้ำโขงไทย – ลาว ต่างก็ใช้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเกษตรกรรม การบริโภค เลี้ยงสัตว์ การคมนาคม การประกอบพิธีกรรมทางน้ำ ตลอดถึงการพักผ่อนหย่อนใจ ประชาชนชาวไทย ลาว ต่างก็มีความสัมพันธ์กันมานาน ในปีหนึ่งๆ จะมีผู้เสียชีวิตในลำน้ำโขงปีละไม่น้อย ซึ่งผู้ที่เสียชีวิตในลำน้ำโขงนั้น คนเฒ่า คนแก่ เชื่อว่าเป็นการกระทำของเทพเจ้าทางน้ำ ( ชาวบ้านเรียกกันว่า เงือก ) เทพเจ้าทางน้ำที่ชาวบ้านลุ่มแม่น้ำโขงนับถือ ก็คือ เจ้าแม่สองนาง ( งู ๑ คู่ ) งูเงือก และพญานาค เป็นสิ่งเดียวกันสุดแต่ว่าใครจะเรียก
เพื่อเป็นการเซ่นไหว้ และลดการเสียชีวิตของผู้ประกอบการทางน้ำ จึงปรากฏเห็นศาลเจ้าแม่สองนางตารมแถบลุ่มแม่น้ำโขงทั้งฟากฝั่ง เช่น ศาลเจ้าแม่สองนาง อำเภอเมืองหนองคาย ที่วัดหายโศก ศาลเจ้าแม่สองนางอำเภอโพนพิสัย
ที่ปากห้วยหลวง ศาลเจ้าแม่สองนางที่บ้านจอมนางอำเภอโพนพิสัย ศาลเจ้าแม่สองนางที่อำเภอบึงกาฬ หน้าโรงพยาบาลบึงกาฬ โดยในแต่ละปีจะมีพิธีบวงสรวงเจ้าแม่สองนางเพื่อให้เจ้าแม่สองนางปกป้องคุ้มครองไม่ให้ประสบภัยอันตรายและเกิดศิริมงคลแก่ผู้ประกอบการทางน้ำ
พญานาค งู เงือก คือ เทพเจ้าทางน้ำ เป็นความเชื่อของคนบางกลุ่มเท่านั้น จริงเท็จอย่างไรนั้น ยากแก่การพิสูจน์ แต่ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ หรือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ พี่น้องที่อาศัยอยู่ตามริมแม่น้ำโขง บริเวณตั้งแต่บ้านวัดหลวง เขตสุขาภิบาลโพนพิสัย บ้านน้ำเป บ้านอาฮง จะพบกับปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ชาวอำเภอโพนพิสัย ตลอดจนผู้คนที่อาศัยอยู่ตามริมแม่น้ำโขงตามสถานที่กล่าวมานี้ เรียกติดปากมาตั้งแต่สมัย ปู่ ย่า ยาย ว่า
บั้งไฟพญานาค
ความเป็นมานั้น จากการเล่าของคนเฒ่า คนแก่ คือ ในคืนวันเพ็ญเดือน ๑๑ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เมื่อนั่งเรือออกไปหาปลากลางแม่น้ำโขงจะเกิดมีลูกไฟขึ้นรอบๆ เรือเป็นจำนวนมาก จนเกิดความกลัวต้องพายเรือเข้าหาฝั่งและจะเกิดขึ้นเฉพาะใน
คืนดังกล่าวเท่านั้น ต่อมาทางอำเภอโพนพิสัยได้จัดงานไหลเรือไฟ และชมบั้งไฟพญานาค โดยได้มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนจากทั่วสารทิศเดินทางมาชมบั้งไฟพญานาค สิ่งมหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขง บางคนก็มาด้วยการอยากรู้ เพื่อพิสูจน์ด้วยตาตนเอง ซึ่งก็ไม่ทำให้ผู้ที่มาชมผิดหวัง ผู้ที่เดินทางมาจากทั่วสารทิศ เมื่อเห็นกับตาตัวเอง ก็ยังไม่แน่ใจ คิดว่าจะต้องมีคนทำขึ้นเองบ้าง ความคิดจึงได้แตกต่างกันออกไป แต่ก็พอแยกได้ คือ
๑. กลุ่มคนรุ่นใหม่ คือ พวกหัววิทยาศาสตร์ ซึ่งมีความเชื่อว่าลูกไฟที่พุ่งขึ้นมานั้นเป็นการรวมตัวกันชองก๊าซหรือ
แร่ธาตุ เมื่อรวมตัวกันแล้วถูกแรงอัดพุ่งขึ้นเหนือน้ำทำปฏิกิริยากับอากาศ แล้วเกิดแสงสว่างขึ้นแต่ก็มีผู้แย้งว่า ทำไมต้องมาเกิดเฉพาะวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ เท่านั้น
๒. กลุ่มไม่แสดงความคิดเห็น ดูแล้วเห็นว่ามีลูกไฟขึ้นมาจริงจากลำแม่น้ำโขง
๓. กลุ่มหัวโบราณ มีความเชื่อว่าลำแม่น้ำโขงเป็นที่อยู่ของนาค ซึ่งเป็นเทพชนิดหนึ่ง สามารถแปลงกายเป็นงู หรือ คนก็ได้ ลำน้ำโขงบริเวณอำเภอโพนพิสัย เป็นภาพ หรือเมืองหน้าด่าน ที่เป็นทางขึ้นสู่เมืองมนุษย์ของเหล่าพญานาค ในคืนวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ หรือวัดออกพรรษา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากดาวดึงส์มาสู่โลกมนุษย์ เพื่อเป็นการต้อนรับพระพุทธองค์ บรรดาพญานาค ที่อยู่ตามลำแม่น้ำโขง จึงพ่นบั้งไฟถวายเป็นพุทธบูชา ลูกไฟที่พุ่งขึ้นมาตามลำแม่น้ำโขง จึงเรียกกันว่า “ บั้งไฟพญานาค”
ที่สำคัญคนยังรู้ไม่มากก็คือ ตลอดลำแม่น้ำโขง ระยะความยาว ๔,๐๐๐ กิโลเมตร นี้ ตรงที่ลึกที่สุด ที่เรียกว่า “สะดือแม่น้ำโขง” นั้น อยู่ที่แก่งอาฮง คนเฒ่า คนแก่ เคยวัดโดยใช้เชือกผูกก้อนหินหย่อนลงไปวัดได้ ๙๘ วา และ
ตรงจุดนั้น จะเป็นแอ่งน้ำวนขนาดใหญ่ เมื่อหน้าแล้งจะเห็นได้ชัดเจนมาก นอกจากที่แก่งอาฮงจะเป็นจุดที่ลึกที่สุด ของ
ลำน้ำโขงแล้ว ชาวบ้านยังเชื่อว่าจุดดังกล่าว เป็นภพ หรือเมืองหลวงของพญานาค โดยคนเฒ่า คนแก่ เล่าว่าแก่งอาฮง นั้น
จะมีลักษณะคล้ายงูขนาดใหญ่ ว่ายข้ามจากฝั่งไทยไปยังฝั่งลาว ในลักษณะตรง น้ำแตกเป็นฟอง ถ้าหากไปดูบริเวณริมฝั่งโขง จะเห็นรอยพญานาคปรากฏอยู่ ฝั่งตรงข้ามกับแก่งอาฮงจะมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ประดิษฐานอยู่ริมแม่น้ำโขง
จากคำบอกเล่าของพ่อเฒ่าอุ่นหล้า อัศศมนตรี อายุ ๙๑ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๔๓๕ คุ้มวัดศรีคุณเมือง อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ในสมัยหนุ่มๆ เป็นนายท้ายเรือที่ล่องเรือไปมาระหว่างหนองคาย – บึงกาฬ เมื่อถึงฤดูน้ำเต็มตลิ่ง เมื่อผ่านมาถึงแก่งอาฮง บริเวณที่เรียกว่า “สะดือแม่น้ำโขง” จะเห็นสิ่งประหลาดมองห่างจากเรือประมาณ ๑ กิโลเมตร มีต้นตาลขนาดใหญ่ไม่มีใบ โผล่ขึ้นจากน้ำราวๆ ๒ เมตร มีละอองน้ำเป็นฝอย ๆ รอบๆ ต้นตาลสีดำมัน แต่เมื่อเดินเรือเข้าไปใกล้ๆ ก็จะไม่เห็นอะไร ทำให้ผู้คนที่เดินทางตามลำน้ำ เมื่อผ่านบริเวณนี้ ก็จะนำพวกหมากพลู เหล้าขาว โยนลงไปในน้ำ เพื่อเป็นการเซ่นไหว้เจ้าที่ เจ้าทาง บริเวณแก่งอาฮง มีความประหลาดอีกประการ คือ ศพจะไหลไม่พ้นแก่งอาฮง เมื่อมีคนหรือศพตกลงในแม่น้ำโขงเหนือแก่งอาฮง ไม่ว่าที่ใด ถ้าหาศพไม่พบ จะหาพบได้ที่นี่ คือ แก่งอาฮง
สิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น ลูกไฟที่พุ่งขึ้นจากกลางแม่น้ำโขง ที่เรียกว่า “ บั้งไฟพญานาค” หรือ รอยประหลาดที่เกิดขึ้นบนหน้ารถของชาวบ้านที่จอด ไว้หน้าวัดไทย อำเภอโพนพิสัย ถึง ๕ ครั้ง เมื่อเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๖ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพญานาคมีจริง เนื่องจากไม่มีคนเชื่อ จึงเกิดปรากฎการณ์ต่างๆ ให้เห็น ซึ่งรอยประหลาดนี้ มีคนเชื่อว่าเป็นรอยพญานาค สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ยังเป็นเรื่องที่จะต้องหาทางพิสูจน์ต่อไป ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร แต่ทุกอย่างก็เกิดขึ้นเป็นประจำในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ คือ วันออกพรรษา หากใครไม่เชื่อก็ไปพิสูจน์ด้วยตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นที่บริเวณอำเภอโพนพิสัย อำเภอรัตนวาปี และบริเวณแก่งอาฮง ตำบลหอคำ อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย